ฮาร์ดแวร์
ที่จำเป็นของระบบเครือข่าย
ฮาร์ดแวร์ของระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์
หมายถึง อุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการติดตั้ง
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งจำนวนอุปกรณ์จะมีความซับซ้อนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับขนาดขององค์กร หรือประเภทของระบบเครือข่าย ตัวอย่างเช่น ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น หรือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งจำนวนอุปกรณ์จะมีความซับซ้อนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับขนาดขององค์กร หรือประเภทของระบบเครือข่าย ตัวอย่างเช่น ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น หรือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer)
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในระบบเครือข่ายนั้นสามารถ
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ เครื่องแม่ข่าย และ เครื่องลูกข่าย
1.1 เครื่องแม่ข่าย
เครื่องแม่ข่าย
หรือเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server)
ควรเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง
สามารถคำนวณหรือประมวลผลได้รวดเร็ว มีหน่วยความจำสูง
ใช้เป็นศูนย์กลางการเก็บข้อมูลและประมวลผลของระบบเครือข่าย
ในระบบเครือข่ายขนาดเล็กมักจะไม่มีเครื่องแม่ข่ายหรือเครื่องเซิร์ฟเวอร์
เนื่องจากมีราคาสูง
แต่อาจใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดเดียวกับเครื่องลูกข่ายแทน
หรือไม่มีเครื่องแม่ข่ายเลยก็ได้
เครื่องลูกข่ายหรือเครื่องไคลเอนต์ (Client)
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่จำเป็นต้องมีคุณภาพสูงเท่าเครื่องแม่ข่าย
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.2.1 เครื่องเวิร์กสเตชัน (Workstation)
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการประมวลผลด้วยตนเองสามารถทำงาน
ได้เร็ว เพราะไม่ต้องรอรับผลจากเครื่องแม่ข่าย
เครื่องเวิร์กสเตชันเมื่อออกจากระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์
ก็ยังสามารถใช้งานได้เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์สแตนด์อโลน
แต่ค่าใช้จ่ายและการดูแลรักษา จะสูงกว่าเครือข่ายที่ใช้เครื่องเทอร์มินัล
1.2.2 เครื่องเทอร์มินัล
(Terminal)
เป็นเครี่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถประมวลผลข้อมูลได้ด้วยตนเอง
มีความสามารถในการทำงานช้า
เพราะต้องรอการประมวลผลจากเครื่องแม่ข่ายเท่านั้น เครื่องเทอร์มินัล
ประกอบไปด้วย จอคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ และเมาส์
เพื่อใช้ในการแสดงข้อมูลและส่งข้อมูลไปยังเครื่องแม่ข่าย
ทำให้ประหยัดค่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ได้อย่างมาก
เครื่องเทอร์มินัลเมื่อออกจากเครือข่ายจะไม่สามารถทำงานได้แต่การดูแลรักษา
ระบบเครือข่ายที่ใช้เครื่องเทอร์มินัล
จะง่ายกว่าระบบเครือข่ายที่ใช้เครื่องเวิร์กสเตชัน
2. แผงวงจรเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card : NIC)
หรือนิยมเรียกกันว่า แลนการ์ด(Lan Card)
ใช้สำหรับต่อสายนำสัญญาณของระบบเครือข่าย
ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย
สามารถติดต่อสื่อสารส่งข้อมูลในระบบเครือข่ายได้
รูปแสดงตัวอย่าง
แผงวงจรเชื่อมต่อเครือข่ายแบบ PCI
รูปแสดงตัวอย่าง
แผงวงจรเชื่อมต่อเครือข่ายแบบ USB
3. สายนำสัญญาณ (Cable)
3.1 สาย
คู่บิดเกลียว (Twisted – Pair Cable)
สายคู่บิดเกลียวประกอบด้วยสายทองแดง ที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก
หลังจากนั้นก็นำสายทั้งสองมาถักกันเป็นเกลียวคู่
เพื่อช่วยลดสัญญาณรบกวนภายในสาย สายคู่บิดเกลียวมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ
3.1.1 สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มี
ชีลด์
(Unshielded Twisted –Pair Cable :UTP)
3.1.2
สายคู่บิดเกลียวแบบมี
ชิลด์
(Shielded Twisted –Pair Cable :STP)
ข้อดี ราคาถูก มีน้ำหนักเบา ง่ายต่อการใช้งาน
ข้อเสีย มี
ความเร็วจำกัด ใช้กับระยะทางสั้นๆ
3.2 สายโคแอกเชียล (Coaxial
Cable)
สายโคแอกเชียลประกอบด้วยสายทองแดงจะถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติก
จากนั้นก็จะมีชิลด์ห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
และหุ้มด้วยเปลือกนอกอีกชั้นหนึ่ง
เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสายโคแอกเชียลที่เห็นได้ทั่วๆ
ไป คือ สายที่นำมาใช้ต่อเข้ากับเสาอากาศโทรทัศน์ที่ใช้ตามบ้าน
ข้อดี เชื่อมต่อได้ในระยะ
ไกล ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดี
ข้อเสีย มีราคาแพง
สายมีขนาดใหญ่ ติดตั้งยาก
3.3 สายไฟเบอร์ออปติค (Fiber
Optic)
สายไฟเบอร์ออปติคหรือสายใยแก้วนำแสง
เป็นสายที่ใช้คลื่นแสงส่งผ่านไปยังตัวกลางใยแก้ว
มีการสูญเสียของสัญญาณน้อยมาก
ทำให้สามารถส่งสัญญาณด้วยความเร็วสูงและได้ระยะทางที่ไกลขึ้น
รูปแสดงตัวอย่าง
สายไฟเบอร์ออปติคสำหรับใช้ภายในอาคาร
รูปแสดงตัวอย่าง
สายไฟเบอร์ออปติคสำหรับใช้ภายนอกอาคาร
ข้อดี
มีขนาดเล็กน้ำหนักเบา มีความปลอดภัยในการส่งข้อมูล
มีความทนทานและมีอายุการใช้งานยาวนาน
ข้อเสีย เส้น
ใยแก้วมีความเปราะบาง แตกหักง่าย
มีราคาสูง
เมื่อเทียบกับสายเคเบิลทั่วไป
มีขั้นตอนในการติดตั้งที่ยุ่งยากและซับซ้อน
4. ฮับ/สวิตช์
(HUB/Switch)
ฮับ กับ สวิตช์
เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายเข้าด้วยกัน
มีรูปร่างลักษณะภายนอกคล้าย ๆ กัน แต่มีความสามารถในการทำงานแตกต่างกัน
ดังนี้
4.1 ฮับ
(HUB)
มีหน้าที่ในการจัดการสัญญาณที่ส่งมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์
กระจายสัญญาณต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ทุกเครื่อง
หากมีการส่งสัญญาณพร้อม ๆ
กันจะทำให้ความเร็วของการส่งสัญญาณในระบบเครือข่ายลดลง ดังนั้น HUB
จึงไม่เหมาะกับระบบเครือข่ายขนาดใหญ่
เพราะมีปัญหาเรื่องความเร็วในการสื่อสาร
4.2 สวิตช์
(Switch) จะมีความสามารถในการทำงานมากกว่า Hub โดยที่อุปกรณ์
Switch จะทำงานในการ รับ-ส่งข้อมูล
ที่สามารถส่งข้อมูลจากพอร์ตหนึ่งของอุปกรณ์
ไปยังเฉพาะพอร์ตปลายทางที่เชื่อมต่ออยู่กับอุปกรณ์
หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งข้อมูลไปหาเท่านั้น
ซึ่งจากหลักการทำงานในลักษณะนี้ ทำให้พอร์ตที่เหลือของอุปกรณ์ Switch
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรับ-ส่งข้อมูลนั้น สามารถทำการ
รับ-ส่งข้อมูลกันได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ทำให้ในปัจจุบันอุปกรณ์ Switch
จึงได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานในระบบเครือข่ายมากกว่า ฮับ (Hub)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น